ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก และการใช้ AI และหุ่นยนต์ เข้ามาช่วยในการทำงานบางอย่างมากขึ้นนั้น ทักษะดีที่ HR ควรมีรับกับแนวโน้มในอนาคต ทำให้แนวใสการวางแผนกำลังคนขององค์กรเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
ทักษะดีที่ HR ควรมีรับกับแนวโน้มในอนาคต จากเดิมที่เน้นไปที่การวางแผนเพื่อหาปริมาณคนที่จะเข้ามาทำงาน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ตามเป้าหมายขององค์กร จะสังเกตได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา เวลาเราวางแผนกำลังคน เราจะเน้นว่า ปีถัดไปเราจะต้องเพิ่มคนอีกกี่คน ตำแหน่งอะไรบ้าง เพื่อรองรับยอดขาย ยอดผลิต หรือผลงานอื่นๆ ที่ต้องเพิ่มขึ้นในแต่ละปี
ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เวลาเราวางแผนกำลังคน ก็มักจะพยายามคำนวณหาเวลามาตรฐานในการทำงาน กระบวนการทำงานทั้งหมด และผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อที่จะกำหนดออกมาได้ว่า องค์กรเราจะต้องเพิ่มพนักงานอีกกี่คน ถึงจะเพียงพอต่อการขยายตัวในอนาคต
แต่ในยุคนี้ และอนาคตข้างหน้าที่จะถึง เราจะไม่เน้นไปที่การคำนวณอัตรากำลังในลักษณะที่เป็นจำนวนคน หรือปริมาณพนักงานอีกต่อไป แต่เราจะเน้นไปที่การวางแผนกำลังคนในเชิงคุณภาพของกำลังคนมากกว่าปริมาณ
4 ทักษะดีที่ HR ควรเตรียมมือรับแนวโน้มในอนาคต
- Work From Home Facilitator ไม่มีกระแสใดในยุค new normal นี้จะแรงไปมากกว่ากระแสการทำงานจากที่บ้านอีกแล้ว หน้าที่ใหม่ของ HR นอกจากจะต้องสร้าง engagement กับบุคลากรในที่ทำงานแล้ว ยังจะต้องดูแลการทำงานจากที่บ้าน หรือ remote worker ด้วย นอกจากจะเป็นการทำให้พนักงานมีความยืดหยุ่นทางสภาวะจิตใจแล้ว ยังจะต้องคอยเป็น Enabler หรือผู้อำนวยในเกิดความสามารถในการทำงานอย่างคล่องตัว การออกแบบสวัสดิการที่เหมาะสม และเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย รวมถึงการจัดอุปกรณ์ทำงานที่เหมาะสมกับ remote work ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีหน้าที่พิเศษคือการคอยทำ health check เพื่อดูว่า productivity ของการทำงานดีหรือแย่ลงหรือไม่? มีผลกระทบต่อพนักงานในด้านจิตใจหรือไม่? จากนั้นจึงมาออกแบบกระบวนการช่วยเหลือต่าง ๆ เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานต่อเนื่องในระยะยาวได้นั่นเอง
- Workplace Environmental Architect นอกจาก HR จะต้องปรับตัวตามกระแส new normal way of work อย่างการทำงานจากที่บ้านแล้ว HR ยังจะต้องมีอีกหน้าที่หนึ่งคือ เป็นสถาปนิกที่ออกแบบสถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ที่เหมาะสมกับพนักงานที่ต้องทำงานแบบ on-site หรือ hybrid ด้วยนั่นเอง โดยนิยามของคำว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานนั้น แน่นอนว่าคงไม่อาจจำกัดได้แค่สถานที่ แต่ต้องเป็นบรรยากาศในการทำงานที่ปลอดภัยด้วย ไม่ว่าจะเป็นการทำสถานที่ทำงานให้เหมาะสมในช่วงมีโรคระบาด หรือการสามารถช่วยเหลือเพื่อนพนักงานที่จำเป็นจะต้องเลี้ยงลูกในระหว่างการทำงานด้วย เป็นต้น
- Strategic HR Business Continuity Director ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน การที่ HR จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอในการเกิดภาวะวิกฤตที่คาดเดาไม่ได้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องเตรียมสร้างรากฐานเสียตั้งแต่ตอนนี้ ด้วยหลักการของ Business Continuity หรือการที่สามารถทำให้พนักงานปลอดภัยมากพอที่จะทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงเหตุการณ์ที่มีความโกลาหลระดับโลก แต่หมายถึงเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดผลกระทบโดยตรงต่อสภาพทางธุรกิจนั่นเอง เช่น การถูกตัดขาดจากระบบขนส่ง การถูกโจรกรรมข้อมูล การเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น HR ที่ดูแลหน้างานนี้จะต้องรู้จักการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ลงมือทำระบบที่สามารถพยุงพนักงานที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในสถานที่หรือสภาวะที่ทำงานได้อย่างสบายใจ เช่นการเตรียมสถานที่ทำงานที่พนักงานสามารถเยี่ยมครอบครัวได้ หรือสถานที่ทำงานที่พนักงานได้รับการอำนวยความสะดวกต่อการทำงานที่มีความเครียดสูง เป็นต้น
- Gig Economy Managerงานใหม่สุดท้ายที่จะขอกล่าวถึงในที่นี้ คือเรื่องของ HR ที่จะต้องเตรียมดูแลกำลังพลแห่งอนาคตที่แท้จริง เป็นกำลังพลแฝงที่ตามหลัก build buy borrow แล้วคือการขอยืมแรงงานจากภายนอกมาใช้ชั่วคราว ซึ่งอย่างไรก็ตามดังที่เคยเขียนถึงเรื่อง workforce on-demand ไปในบทความก่อนหน้านี้แล้วนั้น หากการที่ปล่อยให้แต่ละคนรับแรงงานแบบ gig เข้ามาโดยไม่มีการบริหารจัดการก็อาจจะก่อให้เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นมาในที่ทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดระเบียบการทำงาน หรือการจ่ายค่าตอบแทนที่ผันแปรไม่รู้จบ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม 4 ตัวอย่างที่ยกขึ้นมานั้นเป็นเพียงกลุ่มเดียวจากทั้งหมดเกือบ 60 งานที่ผลวิจัยได้นำเสนอ และพยายามคัดเลือกที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบันของประเทศไทยให้มากที่สุด ทั้งนี้ยังมีงาน HR ที่น่าสนใจอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงอีกมากมาย เช่น เจ้าหน้าที่ควบคุมดูแลอคติระหว่างหุ่นยนต์และมนุษย์ หรือเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องการสืบค้นข้อมูลชุดเฉพาะเจาะจงรายบุคคล หรือนักสืบข้อมูล เป็นต้น
Facebook fanpage : GeeHRM Line@ : 640vtamj Tiktok : GeeHRM Website: GeeHRM